วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Present simple

Present simple ใช้ในกรณีต่อไปนี้


·General statement ข้อความที่กล่าวถึงสิ่งต่างๆ ทั่วไปโดยไม่ได้ระบุเวลาที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นหรือจบ
·Repeated action การกระทำเป็นประจำ ทำบ่อยๆ ทำช้ำๆ
·Habits เป็นนิสัย
·Natural truth ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
·Customs เป็นประเพณี
·Proverbs ใช้ในสุภาษิต และคำพังเพย
·ใช้ในความหมายของ Future เมื่อเป็นตารางเวลาและกฎระเบียบ

         ใน Present simple ส่วนใหญ่แล้วจะมี Adverb of frequency เป็นตัวบ่งบอกของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ หรือประเพณี

         Adverb of frequency คือ adverb ที่บอกความถี่ ความบ่อย ความสม่ำเสมอ ใช้ได้ทั้งใน Present simple และ Past simple แต่ถ้าใช้ใน Past simple ประโยคนั้นจะต้องมี Adverb of time เป็นตัวบ่งบอกว่าประโยคนั้นเป็นอดีต

Adverb of frequency มีคำต่อไปนี้
Always often frequently
Ever never usually
Generally occasionally sometimes
Rarely hardly scarcely
Seldom

Present continuous
รูปประโยค S + V. to be + V. ing
ใช้ในกรณีต่อไปนี้
·ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะที่พูด
·ทำเป็นประจำช่วงระยะเวลาหนึ่ง
·เหตุการณ์ที่พัฒนาขึ้น
·ใช้ใน Future tense ในกรณีที่เป็นแผนการและมีการบอกเวลาอย่างแน่ชัด

Adverb of time ที่ใช้ใน Present continuous คือ
Now right now at present
Today this……. At the moment
At this moment still for the time being
Meanwhile

Present perfect
รูปประโยค S + V.to have + V.3
ใช้ในกรณีต่อไปนี้
·ทำตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
·เหตุการณ์นั้นเพิ่งจะเสร็จสิ้น

Adverb of time คือ since , for

Present perfect continuous
รูปประโยค S + V. to have + been + V.ing
ใช้ในกรณีต่อไปนี้
·เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันและจะยังคงดำเนินต่อไปในอนาคต
·ใช้กับเหตุการณ์ ซึ่งได้เกิดขึ้นและได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ยังทิ้งร่องรอยให้เห็นในขณะที่พูด

Past perfect
รูปประโยค S + had + V.3
ใช้ในการเล่าเรื่องในอดีต โดยทั่วไปเราจะใช้ Past perfect คู่กับ Past simple โดยที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและเสร็จสิ้นลงแล้วเป็น Past perfect เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังเป็น Past simple

Past simple
ใช้ในการเล่าเรื่องในอดีต โดยใช้ Verb ช่อง 2 ในกรณีที่เป็น irregular verb และเติม ed กับ regular verb ใช้ในการเรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกือบจะในเวลาเดียวกันในอดีต โดยมี adverb of time ที่ใช้ดังนี้
Ago last…..
The other day formerly
Yesterday once
Previously

Future Perfect
รูปประโยค S + will, shall + have + V.3

·ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต ซึ่งขณะที่พูดเป็นเพียงคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าถึงตอนนั้นแล้ว เหตุการณ์อันหนึ่งจะได้เกิดขึ้นสมบูรณ์อยู่ก่อนแล้วจึงมีเหตุการณ์อันที่ 2 เกิดขึ้นตามมา เช่น
The play (start) before we (reach) the theatre.
The play will have started before we reach the theatre.
·ใช้กบเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ณ เวลาใดเวลาหนึ่งตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจนในประโยค ส่วนคำหรือกลุ่มคำที่บอกเวลาเป็นอนาคต นำมาร่วมกำกับไว้นั้น จะนำหน้าด้วยคำบุพบท by เสมอ เช่น by tomorrow, by next week, by the end of March, by dinner time, by next summer เช่น
I shall have finished my work by dinner time.
ก่อนจะถึงเวลาอาหารเย็น ฉันจะได้ทำงานของฉันเสร็จแล้ว(ขณะพูดงานยังไม่เสร็จ แต่เมื่อถึงก่อนเวลาอาหารเย็นงานจะเสร็จ)

Modals คือ V. ช่วย หรือที่เรียกว่า Auxiliarly Verbs
1.วางไว้หน้า V. แท้
2.วางไว้หน้า not ในรูปประโยคประโยคปฎิเสธ
3.วางไว้หน้า subject ในประโยคคำถาม
4.จะต้อง + inf. Without to เสมอ
5.ห้ามใช้ Modal verb 2 คำซ้อนกัน เช่น You will can come tomorrow. ประโยคนี้ผิด เพราะทั้ง will และ can เป็น Modal verb ทั้งคู่จะใช้ซ้อนกันไม่ได้

Modal verbs
Will would shall should
Can could may might
Must ought to need

Can & Could
สองคำนี้สามารถใช้ได้ในกรณีต่างๆ ดังต่อไปนี้
Possibility (ความเป็นไปได้)
1.ใช้ can เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่เป็นไปได้
2.ถ้าเรากล่าวถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนในปัจจุบัน เราใช้ cannot หรือ can’t
3.เมื่อเรากล่าวถึงสิ่งที่ไม่แน่ใจว่าเป็นไปได้หรือเปล่า แต่ผู้พูดคิดว่าเป็นไปได้ในปัจจุบันในกรณีนี้ใช้ could
4.ถ้าเรากล่าวถึงสิ่งที่เป็นไปได้ในอดีต แต่ผู้พูดไม่แน่ใจเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นหรือเปล่า ต้องใช้ could have+V.3
5.ใช้ could not have + V.3 เพื่อจะบอกว่าสิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้ในอดีต

Ability (สามารถ)
ใช้ can, could เพื่อบ่งบอกถึงความสามารถ เช่น
·ใช้ can เพื่อแสดงความสามารถในปัจจุบัน และอนาคต
·ใช้ could เพื่อแสดงความสามารถในอดีต
·ใช้ could have + V.3 เพื่อแสดงว่าบุคคลนั้นมีความสามารถที่จะทำสิ่งนั่นแต่เขาไม่ได้ทำ
·ใช้ couldn’t have + V.3 เพื่อที่จะบอกว่าบุคคลนั้นไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้
·ใช้ can หรือ could กับคำต่อไปนี้ในความหมายของ Present Continuous
See hear smell understand
Feel taste remember
เช่น I can smell gas.

Can, Could (ability) VS Able to
Can, could, able to มีคำแปลเหมือนกันคือ สามารถ แต่มีวิธีการใช้แตกต่างกันดังต่อไปนี้
1.Can ใช้ใน Present Simple หรือ Future
2.Could ใช้ใน Past Simple
3.เรามาสามารถใช้ can หรือ could ในประโยคที่มี V. ช่วยอยู่แล้ว
4.Could have + V.3 เพื่อบอกว่าบุคคลนั้นมีความสามารถที่จะทำได้ในอดีตแต่ไม่ได้ทำ
5.Couldn’t have + V.3 เพื่อบ่งบอกว่าบุคคลนั้นไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ในอดีต

To be able to
1.ใช้ได้ในทุก tense
2.ใช้แทน can, could ในกรณีที่ประโยคนั้นมี V. ช่วยตัวอื่นอยู่แล้ว
3.ใช้ในความหมายที่แปลว่า สามารถทำจนเสร็จ เช่น The sea was very rough, but he tried very hard, so he was able to swim across it.

Permission & Prohibition
1.ใช้ can, could เพื่อแสดงการขออนุญาต
2.ใช้ can เพื่อแสดงการอนุญาตในปัจจุบัน
3.ใช้ could เพื่อแสดงการอนุญาตในอดีต

Food, Nutrition and Drinks

Nutrition (n. = โภชนาการ
Take (v.) = กิน
Have (v.) = กิน
Gorge (v.) = สวาปาม
Chew (v.) = เคี้ยว
Nibble (v.) = แทะ
Munch (v.) = เคี้ยวตุ้ย ๆ
Swallow (v.) = กลืน
Lap up (v.) = เลีย ดื่ม ซัด
Food (n.) = อาหาร
Sustenance (n.) = อาหาร
Malnutrition (n.) = ทุโภชนาการ
Drink(v.)/ (n.) = ดื่ม / เครื่องดื่ม
Beverage (n.) = เครื่องดื่ม
Soft drink (n.) = เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสม
Strong drink (n.) = เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสม
Brew (n.) = เครื่องดื่มที่เตรียมด้วยการต้ม
Brewer (n.) = คนต้มเบียร์
Brewery (n.) = โรงเบียร์
Brew house (n.) = โรงต้มเบียร์
Imbibe (v.) = ดื่ม
Drain (v.) = ดื่มจนหมด, ระบายน้ำ
Sip (v.) = จิบ
Parched (adj.) = กระหายน้ำมาก อยากดื่มอะไรเย็นๆ แห้งแล้ง
Eat (v.) = กิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น